11/4/57

7 วิธี ประหยัดแบต iPhone โดยช่างเทคนิค iOS

ยอมรับครับว่าผู้อ่านที่ใช้ iPhone ที่ประสบปัญหาแบตเตอรี่หมดไว คงได้อ่านวิธีการรักษาปริมาณแบตไว้ให้มากที่สุดมาเยอะแยะต่างๆ นานากันแล้ว แล้วคราวนี้ผมจะเอาเขียนอีกทำไม? เพราะผมเห็นว่าบทความนี้ไม่ใช่บทความที่บอกว่า "ให้ไล่ปิดฟีเจอร์แทบจะทุกๆ ฟีเจอร์ใน iOS เพื่อเซฟแบตเตอรี่" แต่ชี้แนะวิธีการที่น่าสนใจ การอธิบายค่อนข้างมีเหตุมีผล และผู้เขียนอ้างว่าผ่านการทดลองจากหลักฐานการใช้งานต่างๆ ในช่วงที่เป็นช่างเทคนิค iOS อยู่ใน Apple Store (เป็นที่ปรึกษาให้ลูกค้าอยู่บริเวณ Genius Bar) รวมไปถึงผ่านการทดสอบจากเครื่องส่วนตัวเองแล้วด้วยครับ

ก่อนจะไปพูดถึงวิธีการแก้ปัญหาแบต iPhone หมดไว เราเคยรู้มาก่อนไหมว่าแบตเตอรี่เราสามารถรั่ว (drain) ได้โดยไม่เกี่ยวข้องการการเปิดใช้งานฟีเจอร์หรือแอพอื่นๆใน iOS วิธีเช็คว่าแบตเตอรี่ของคุณยังปกติดีอยู่ ให้เข้าไปที่ Setting -> General -> Usage และดูที่ เวลาด้านล่างสุด จะพบกับเวลา Usage และ Standby Time

Usage คือเวลาที่เราใช้งานโทรศัพท์เราจริงๆ เข้าเฟซบุ๊ก แชทไลน์ เช็คเมล เปิดเว็บต่างๆ หลังถอดสายชาร์จที่ชาร์จจน 100%
Standby Time คือเวลาทั้งหมดตั้งแต่ถอดสายชาร์จ กล่าวคือเป็นเวลารวมของ Usage กับเวลาที่เครื่อง Sleep

โดยปกติเวลา Standby จะต้องมากกว่า Usage นอกจากคุณจะเปิดใช้เครื่องตลอดตั้งแต่ถอดสายชาร์จ หากจะลองตรวจสอบอย่างละเอียด ให้คุณลองบันทึกเวลา Usage และ Standby (หลังชาร์จจนเต็ม) กดล็อคหน้าจอ จับเวลาสัก 5 นาที แล้วลองเช็คดู หากเครื่องปกติ Standby จะอยู่ที่ 5 นาที และ Usage จะน้อยกว่า 1 นาที หาก Usage คุณมากกว่า 1 หรือ Usage และ Standby เท่ากันแสดงว่าคุณมีปัญหาแบตเตอรี่รั่ว โทรศัพท์คุณไม่สามารถ sleep ได้อย่างที่ควรจะเป็น

วิธีการต่อไปนี้สามารถช่วยคุณได้ (ถ้าไม่มีแล้วยังคงกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดไว จะเอาไปใช้ก็ไม่มีใครว่านะครับ)


ปิด Location service และ Background app refresh ของ Facebook


ผู้เขียนได้ทำการทดลองใช้ Xcode ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ของนักพัฒนาของแอปเปิล ที่สามารถดูการทำงานในทุกๆ process ของ iPhone ที่ทำงานอยู่ได้ ในตอนทดสอบ เฟซบุ๊กเป็นแอพที่มี process การทำงานตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่ได้เปิดใช้งาน แต่พอ Location service และ Background App Refresh ลองถูกปิดลง ปรากฎว่าแบตเตอรี่กระโดดจาก 12% ขึ้นเป็น 17% ผู้เขียนบอกว่าไม่เคยพบ และได้ทดลองกับเครื่องอื่นๆ ผลออกมาเหมือนๆ กัน


ปิด Background App Refresh สำหรับแอพที่ไม่จำเป็น


Background app refresh (ผมขอใช้ตัวย่อว่า BAR) จะทำให้แอพพลิเคชันที่เราไม่ได้เปิดใช้งาน ยังคงทำงานอยู่เบื้องหลัง หากแอพไหนคุณเห็นว่าไม่จำเป็น ก็ปิด BAR ซะเถอะครับ


เลิกปิดแอพในหน้า Multitasking


เรามักจะเข้าใจว่าการปิดแอพจากการกดปุ่ม Home สองครั้งนั้น เป็นการช่วยประหยัดแบตเตอรี่เพราะคิดว่าแอพมันจะทำงานอยู่เบื้องหลัง

ผิดครับ หากคุณไม่ได้เปิด BAR iOS จะ freeze การทำงานของแอพนั้นๆ ทันทีที่คุณกด Home เพื่อที่ว่าคุณสามารถกดกลับเข้าแอพได้ทันทีที่คุณเปิดแอพนั้นมาใหม่ ในช่วงนี้ RAM จะมีหน้าที่บันทึกการทำงานของแอพไว้ การปิด (shutdown) จากหน้า Multitasking กลับจะยิ่งทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักขึ้นไปอีก เพราะเพื่อเปิดแอพขึ้นมาใหม่ เครื่องจะดึงข้อมูลออกมาจากหน่วยความจำในเครื่อง การเปิดๆ ปิดๆ เป็นการสร้างภาระให้กับตัวเครื่องมากกว่าที่จะเปิดแอพทิ้งไว้เฉยๆ นอกจากนั้นหากต้องการ RAM เพิ่ม เครื่องจะปิดแอพที่ค้างไว้เหล่านั้นโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว


ปิดการแจ้งเตือน E-mail เป็นครั้งคราว


หากสองวิธีข้างต้นยังไม่ช่วย ลองปรับให้เครื่องดึงอีเมลจากเซิร์ฟเวอร์ (fetching) ทุกๆ ครึ่งหรือ 1 ชั่วโมงแทน ผู้เขียนกล่าวว่าการแจ้งเตือนของเมล exchange เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวลา Usage กับ Standby เท่ากันเพราะโทรศัพท์เหมือนจะต้องเช็คอีเมลตลอดเวลา และทำให้เครื่องไม่สามารถ sleep ได้อย่างจริงจัง


ปิดการแจ้งเตือนแอพที่ไม่จำเป็น


ไม่ได้หมายความว่าการแจ้งเตือนนั้นกินแบตในตัวมันเอง จึงไม่ได้หมายถึงให้ปิดการแจ้งเตือนเสียทีเดียว การแจ้งเตือนจะทำให้โทรศัพท์คุณ wake ขึ้นมา อาจจะ 5 หรือ 10 วิ แต่หากคุณมีแอพเช่น เกม ที่อาจจะแจ้งเตือนคุณวันละหลายๆ ครั้ง ก็จะทำให้การ wake ของเครื่องโดยรวมมากขึ้นเป็นนาทีๆ การปิดการแจ้งเตือนแอพที่ไม่จำเป็นอาจจะช่วยได้ไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย หากคุณแบตเหลือน้อยๆ แล้วกำลังรอโทรศัพท์สำคัญ แค่ 1% มันก็สำคัญ


ปิด Battery Percentage


ใช่ครับ ปิดการแจ้งปริมาณของแบตเตอรี่ที่เหลือ เป็นเหมือนการแก้ปัญหาเชิงจิตวิทยามากกว่า เพราะการเปิดไว้ จะทำให้คุณคอยพะวงกับตัวเลขด้านบน ว่ามันลดไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์หลังจากดูครั้งล่าสุด ลองปิดแล้วเลิกประสาทไปกับตัวเลขด้านบนดู มันอาจลดความกังวลของคุณลงไปไม่มากก็น้อย
เปิด Airplane Mode ในพื้นที่ที่มีสัญญาณต่ำ

เพราะเมื่อโทรศัพท์พบว่าคุณอยู่ในพื้นที่ที่สัญญาณไม่ค่อยดี เครื่องจะเพิ่มความสามารถให้เสาสัญญาณในการพยายามจับสัญญาณให้ได้มากที่สุด กระบวนการตรงนี้เองที่ค่อนข้างจะกินแบตเตอรี่

อย่างไรก็ตามหากแบตเตอรี่ iPhone คุณยังคงไม่สามารถรองรับการใช้งานของคุณได้ทั้งวันจริงๆ ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะคุณใช้งานมันหนัก โดยที่ตัวเครื่องและระบบทำงานอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวที่สุดแล้ว ก็พกแบตสำรองตามสะดวกละกันนะครับ ต้องยอมรับด้วยแหละครับว่าความจุแบตเตอรี่ที่แอปเปิลให้มาค่อนข้างน้อย (iPhone 5s ประมาณ 1570 mAh) เมื่อเทียบโทรศัพท์เรือธงของฝั่งแอนดรอยด์ (ประมาณ 2000-3000 mAh)

ที่มา - nismod@Blognone

Labels